เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เป็นธรรม แล้ววางประสบการณ์อันนั้นมาเป็นปริยัติ แล้วเราก็ไปติดกันที่ปริยัติ เวลาเราเรียนปริยัติแล้วต้องวิเคราะห์ตรงนั้น ว่าสิ่งนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ตรัสรู้อะไร..
สิ่งที่ตรัสรู้นั้นเป็นวิชาการ แต่คนที่จะทำวิชาการ ทำเป็นองค์ความรู้ขึ้นมาได้ เขาต้องมีความรู้จริง ความรู้จริงอันนั้นถึงได้วางเป็นภาคทฤษฎีออกมา เห็นไหม
เวลาเขามาว่ากัน ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สั่งสอนได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าสั่งสอนไม่ได้.. ไม่จริง! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สั่งสอนได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็สั่งสอนได้ แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าสั่งสอนด้วยองค์ความรู้ของท่าน คือท่านรู้อย่างไรท่านก็สอนอย่างนั้น
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างวาสนามามากกว่า ถึงวางเป็นบัญญัติศัพท์ เห็นไหม อย่างขันธ์ ๕ อย่างอริยสัจต่างๆ นี่บัญญัติศัพท์ขึ้นมา สอนขึ้นมา เห็นไหม วางศาสนาไว้เป็นภาคทฤษฎีไง ถ้าทฤษฎีนี่ ทำเป็นวิชาการไว้
แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่พระอรหันต์ไม่รู้เป็นไปได้อย่างไร แล้วเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ไม่รู้เป็นได้อย่างไร มันต้องรู้ถึงประสบการณ์ของตัวใช่ไหม ถ้าเราไม่มีองค์ความรู้ เราไม่มีวิชาการของเรา เราจะประสบความสำเร็จของเราได้อย่างไร แล้วที่เราทำขึ้นมาแล้ว เราทำกับข้าวเป็น เราจะสอนคนอื่นให้ทำกับข้าวไม่ได้เหรอ? เราสอนเป็น เราทำกับข้าวไม่ได้ แต่ถ้าเขาเป็นอาจารย์สอนทางวิชาการ เขาทำกับข้าวเป็นด้วย แล้วเขาชั่ง ตวง วัด ว่าน้ำหนักควรทำขนาดไหน เห็นไหม แล้วก็เขาเขียนเป็นตำราทำกับข้าวมาสอนคนด้วย คนเราทำกับข้าวเป็น ชาวบ้านเราทำกับข้าวเป็นนะ แล้วทำอร่อยด้วย แต่ให้บอกถึงตำรามา กูก็ไม่รู้นะ แต่กูทำได้อย่างนี้ พั่บๆ เสร็จเลย เห็นไหม พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเป็นทฤษฎีขึ้นมาอย่างนี้ นี่มันสังเวช สังเวชตรงที่เราไปศึกษากัน แล้วเราก็ไปวิเคราะห์วิจัยกัน ทฤษฎี เห็นไหม มันไม่เข้าไปถึงหลักการ ดูสิ ดูอย่างฤๅษีชีไพรสมัยพุทธกาล เห็นไหม เขาบูชาไฟ ฤๅษีนี่บูชาไฟนะ บูชาไฟ เขารักษาไฟของเขาได้ เพราะไฟนี่ดับไม่ได้ ดับแล้วมันติดได้ยาก สมัยนั้นไอ้เรื่องการติดไฟยังติดได้ยาก
เวลาเขาจะไปธุระ เขาบอกว่าให้ลูกศิษย์ให้รักษากองไฟไว้ ลูกศิษย์มันเล่นเพลินไง เล่นเพลินจนกองไฟนั้นดับ เห็นไหม พออาจารย์ยังไม่กลับมา มันพยายามจะติดไฟ มันติดไม่เป็นนะ เขาใช้ไม้สีๆ ให้มันเกิดไฟ สีอย่างไรมันก็ไม่ติด เพราะเด็กมันไม่มีความอดทนได้ขนาดนั้นหรอก เอ๊..แล้วอาจารย์เขาสีไฟได้อย่างไร ไฟอยู่ที่ไหน เห็นไหม เอาไม้สีไฟมาผ่า ผ่าหาไฟ ผ่าใหญ่เลย ไอ้ไฟก็ไม่มี ทำอย่างไรก็ไม่มี
นี่เห็นเขาทำ แต่ตัวเองทำไม่ได้ เห็นไหม ทำไม่ได้ ทำไม่เป็น มันก็ไม่เข้าใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้แล้วนะ ทฤษฎีนี่เป็นสัจจะความจริง แล้วเราก็ไปผ่ากัน ทฤษฎีต้องเป็นอย่างนั้น ผ่านะ เหมือนเด็กๆ เอาฟืนมาผ่ากันเลยนะ ผ่าหาไฟ หาไฟ ไฟอยู่ไหน ไฟอยู่ไหน แต่มันทำไม่เป็น มันหาไฟไม่เจอหรอก มันทำไม่ได้ของมันหรอก
เวลาประพฤติปฏิบัติ วิธีการเห็นไหม ถ้าเราทำของเราถูกต้องขึ้นมา แล้วยิ่งผ่าหาไฟ แล้วยิ่งมาปฏิบัตินะ ตอนนี้ภาคปฏิบัติเราก็อยู่ในปริยัติเพราะอะไร เพราะเราไปศึกษากัน เราฟังธรรมของครูบาอาจารย์ แล้วว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เห็นไหม มันเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม มันเข้าใจอย่างนั้น
แล้วความเข้าใจ ดูสิ อย่างสสารต่างๆ มีส่วนผสม เราทำทดลองวิทยาศาสตร์ มันต้องให้ค่าไปสภาวะแบบนั้น แต่ธาตุรู้ สสารรู้นี่มันมีกิเลส มันเปลี่ยนแปลง มันดัดแปลง เห็นไหม เราคาดหมายขึ้นมา มันสร้างภาพขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม ว่างอย่างนั้น สภาวะแบบนั้น ไอ้กิเลสตัวนี้มันร้ายนัก พอมันร้ายนัก มันไม่ได้ค่าตามสัจจะความจริงหรอก
ดูสิ ว่าทำความสงบของใจ อย่างนี้เป็นความสงบๆ มันว่ามันสงบแต่ความจริงไม่ใช่ความสงบเพราะอะไร เพราะถ้าความสงบขึ้นมา พลังงานที่มีความสงบมันมีแรงของมันนะ
ดูสิ เวลาลมพัดลมเย็น เห็นไหม ลมพัดมา อากาศร่มเย็น ลมพัดมา เรามีความร่มเย็นเป็นสุข เวลาพายุเฮอริเคนเข้ามา มันทำลายหมดเลย มันทำลายต่างๆ สิ่งที่เวลามันรุนแรงขึ้นมา มันมีความรุนแรงของมันขนาดนั้นนะ มันทำลายบ้านเรือน ทำลายสิ่งต่างๆ ราบคาบหมดเลย แล้วว่างๆ ว่างๆ พายุเฮอริเคนที่ไหนที่มันไม่ทำลายใครเลย มันมีไหม?
กำลังของใจที่มันมีกำลังขึ้นมา ที่มันยกขึ้นมาวิปัสสนา มันทำลายกิเลส มันมีพลังงานของมัน แล้วว่างๆๆๆ มันมีกำลังที่ไหนล่ะ มันก็เป็นข่าวลือไง มันเป็นข่าวลือ เห็นไหม พายุเฮอริเคนนี่ลงข่าวกัน ดูข่าว เหตุการณ์ปัจจุบันมันผ่านไปแล้ว แต่เราไปคาดหมายกัน เราไปสร้างภาพขึ้นมา ใจก็เหมือนกัน มันสร้างภาพได้ มันสร้างภาพของมันนะ มันว่ามีค่าเป็นสภาวะแบบนั้น แต่มันไม่เป็น พอไม่เป็น..
ถ้าปริยัติเขาผ่าฟืนกันเพื่อจะหาไฟมันก็ไม่เจอ ในการประพฤติปฏิบัติ เราก็ผ่า เห็นไหม ว่าอาการอย่างนี้เป็นสภาวะแบบนั้น อาการสภาวะเป็นอย่างนี้ นี่เราผ่าในอาการของใจ กิเลสมันก็หลอกไปอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม นี่มันก็เป็นปริยัติในปฏิบัติ
แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงล่ะ ครูบาอาจารย์ของเราต้องสีให้ได้ ต้องสีให้เกิดไฟขึ้นมาให้ได้ ถ้าไฟมันเกิดขึ้นมาได้ ไฟมันเกิดจากการเสียดสีกัน ความร้อนของมัน มันเป็นไฟขึ้นมา การผ่าลงไปอย่างนั้นมันไม่มี
นี่ก็เหมือนกัน การสร้างภาพขึ้นมาอย่างนั้นมันไม่เป็นธรรมหรอก แต่ถ้าเรากำหนดลมหายใจเข้าออก หรือกำหนดพุทโธขึ้นมา อยู่กับลมหายใจตลอดไป อยู่กับลมหายใจอย่าทิ้งมันเลย ไม่ต้องทิ้งมันหรอก อยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธตลอดไปนะ แล้วเวลามันสงบเข้ามา มันเป็นความจริงของมัน พายุเฮอริเคนมันเกิดขึ้นมา เวลามันพัดขึ้นไป อ๋อ..มันเป็นอย่างนี้ มันมีความรุนแรงอย่างนี้ มันเป็นสภาวะอย่างนี้ ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ นะ ว่างๆ นี่มันเคลิบเคลิ้มไปหมดเลยนะ แต่ถ้ามันมีกำลังของมันขึ้นมา เห็นไหม สัจจะความจริงเกิดขึ้นมาจากใจของเรา ถ้าสัจจะความจริงเกิดขึ้นจากใจของเรา มันเป็นความถูกต้อง
ความถูกต้อง.. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ตรัสรู้อริยสัจ อริยสัจความจริงมันมีอยู่แล้ว ทฤษฎีมันมีอยู่แล้ว แล้วคนที่รู้อริยสัจอยู่ที่ไหน คนที่เข้าใจทางอริยสัจ คนที่เข้าใจสัจจะความจริงแล้วมันปล่อยวางสัจจะความจริง เห็นไหม ยถาภูตํ รู้ความจริง ญาณทัสนะที่หยั่งรู้แล้ว เห็นไหม
อันนี้ว่างๆ นี่ เรามีตัวเราเข้าไปอยู่ในความรู้นั้นนะ เรามีส่วนได้เสียกับความรู้เรา เห็นไหม มันไม่ใช่ว่ารู้ นี่มีญาณทัสนะ รู้ว่ารู้ รู้ว่าปล่อย รู้ว่าเป็นความจริง แล้วรู้ว่ารู้ รู้ว่าปล่อย อะไรมันรู้ล่ะ? อะไรมันเห็น?
นี่ไง อริยสัจมันเป็นความจริงของเขาอย่างนั้น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี่ใช่ มันเป็นทฤษฎี แต่ถ้ากระบวนการที่มันเกิดขึ้นมา ทุกข์กับสมุทัยนี่มันเป็นฝ่ายลบ นิโรธะกับมรรคนี่มันเป็นฝ่ายบวก แล้วขณะที่มันฝ่ายลบกับฝ่ายบวกที่มันเกิดขึ้นมา หรือมันวางเฉยไหม? อุเบกขานี่เป็นธรรมไหม?
อุเบกขานี่เหมือนศาลเลย เวลาตาชั่งของศาล เห็นไหม มันจะเอียงซ้ายหรือเอียงขวาล่ะ อุเบกขาก็เหมือนกัน อุเบกขานี่ตัวภพ! อุเบกขาตัวกิเลสเลย! อุเบกขาคือตัวเราเลย! อุเบกขามีตาชั่งเลย ตาชั่งมันจะโน้มซ้ายไปขวา ถ้าตาชั่งไม่ดีเห็นไหม อุเบกขานี่มันก็จะออกไปชอบหรือไม่ชอบ เพราะตัวอุเบกขาเป็นตัวเรา
นี่ตัวอุเบกขาตัวภพ ถ้าตัวภพตัวใจ ถ้าตัวใจเข้ามา มันย้อนกลับมาๆๆ เห็นไหม มันจะมีปัญญาอีกอันหนึ่ง เห็นไหม นี่สีไฟ ถ้าสีไฟถูกต้อง มรรคเกิด เห็นไหม ระหว่างสีไม่เป็นมันก็ทุกข์ สมุทัย ถ้าสีเป็นมันก็นิโรธ มรรค เห็นไหม มรรคด้วยอะไร มรรคด้วยวิธีการ ถ้ามันเป็นความจริง แล้วไฟมันเกิดมาจากอริยสัจ มันเป็นอริยสัจไหม?
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อริยสัจ มันเป็นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้จากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางทฤษฎีไว้ วางธรรมไว้ให้เราก้าวเดิน แล้วถ้าเรามีสภาวธรรมแบบนี้ เราปฏิบัติไปแล้ว เห็นไหม มันจะเป็น ยถาภูตํ รู้ความจริง ญาณมันจะหยั่งรู้ขึ้นมา แล้วมันหยั่งรู้วิธีการใดล่ะ?
ถ้าคนประพฤติปฏิบัติเข้ามา มันจะเห็นเลย ถ้าสัจจะความจริงเป็นอย่างนี้ขึ้นมา พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องรู้อย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรู้อย่างนี้ พระอรหันต์ทุกๆ องค์ต้องรู้อย่างนี้ ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้ ความรู้มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีความรู้อย่างนี้ ความจริงจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
แล้วถ้าความรู้อย่างนี้ขึ้นมา ทำไมมันแยกแยะไม่ได้อะไรผิดอะไรถูก ถ้ามันแยกแยะอะไรผิดอะไรถูกไม่ได้ แสดงว่ามันไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยทำอะไรเลย ไม่เคยเห็นอะไรเลย มันก็เป็นภาคทฤษฎีใช่ไหม ถ้าเป็นภาคทฤษฎีขึ้นมาอย่างนั้น มันก็เป็นความรู้ของโลกๆ ไป เห็นไหม มันถึงว่าเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลกนะ ปัญญาของโลก
โลกุตตรปัญญา.. ไม่มีใครเคยเห็นโลกุตตรปัญญาโดยแท้จริง เว้นไว้แต่พระโสดาบันขึ้นไป ขนาดที่โลกุตตรปัญญาขึ้นมา มันชำระกิเลสแล้ว มันทำลายกิเลสขาดออกไปเป็นชั้นเป็นตอนแล้ว นี่โลกุตตรปัญญา แล้วโลกุตตรปัญญาเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
โลกุตตรปัญญาถ้าไม่มีสัมมาสมาธิก่อน มันจะเกิดโลกุตตรปัญญาไม่ได้ เพราะอย่างที่ว่า ว่างๆๆ มีเรารู้ว่าว่าง เพราะเราไปบวก มีเราบวกเข้าไป นี่ใจบวกกิเลส แต่ถ้าใจบวกธรรมๆ ขึ้นไป บวกสัมมาสมาธิขึ้นไป มันจะปล่อยวางๆ เข้ามา ถ้าใจบวกธรรมขึ้นมา มันบวกสัจจะความจริงขึ้นมา เห็นไหม เรารู้เราเองนะ
มือเรา เห็นไหม เวลาสิ่งสกปรกเราหยิบขึ้นมา มันติดมือมากลิ่นสกปรก ถ้าเราไปหยิบของหอมขึ้นมา กลิ่นจะติดมือขึ้นมาเป็นของหอม เรานี่รู้เอง แต่นี่เรามันสงสัยไปหมดเลย กลิ่นนี้กลิ่นหอมหรือกลิ่นเหม็นเราก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ อย่างนั้น เห็นไหม นี่เพราะเราบวกเข้าไป
แต่ถ้าเป็นธรรมบวกขึ้นมา บวกธรรมขึ้นมา มันปล่อยเข้ามา เห็นไหม พิจารณาเข้ามา พิจารณาเข้ามา สัจจะความจริงอันนี้เกิดกับเรานะ สัจจะความจริงนี่ ครูบาอาจารย์สำคัญตรงนี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ เราก็ว่าของเราไป แล้วมันเสียเวลานะ เสียเวลามากๆ เลย เพราะว่างๆ แล้วทำอะไรไม่ถูกต้อง แล้วไม่กล้าทำ ไม่กล้าทำเพราะกิเลสมันหลอก หลอกว่าถ้ากำหนดแรงๆ ขึ้นมามันจะหยาบ จิตมันจะหยาบ จิตที่มันจะละเอียดขึ้นมา มันต้องปล่อยเข้ามาๆ ถ้ามันปล่อยถูกต้อง มันก็เป็นความปล่อยถูกต้อง ถ้าความปล่อยถูกต้องอย่างนี้ มันต้องมีสติเข้าไป มันต้องกำหนดเข้าไปชัดเจนมาก แต่เพราะเราไม่กำหนดชัดเจนขึ้นมาไง
เหมือนกับเราแกว่งสารส้ม การแกว่งสารส้มขึ้นไปเพื่อจะให้น้ำตกตะกอน เราไม่กล้าทำ เราทำขึ้นไปแกว่งแล้วตะกอนมันยิ่งขึ้นมา เห็นไหม แต่ถ้ามันแกว่งสารส้มไป สารส้มมันกัดมันกดลงไป มันจะขึ้นได้อย่างไร
สติก็เหมือนกัน คำบริกรรมก็เหมือนกัน มันต้องสภาวะแบบนั้น ชัดเจนอย่างนั้น แล้วมันเป็นสัจจะความจริง แล้วไม่เป็นอย่างนี้ ไม่บอกว่างๆ หรอก มันจะบอกโอ๊ะ! โอ๊ะ! สมาธิเป็นอย่างนี้เหรอ จิตเป็นอย่างนี้เหรอ เราเป็นอย่างนี้เหรอ ความเป็นๆ อย่างนี้ สุขเป็นอย่างนี้เหรอ มันจะรู้ทันไปหมดเลย
แต่นี่มันกึ่งดิบกึ่งดี กึ่งดิบกึ่งสุก กึ่งๆ หมดเลย เพราะโดนกิเลสมันหลอกเราเอง เห็นไหม ถ้าไม่มีกึ่ง มันจะเป็นความจริงของมัน สมาธิก็เป็นสมาธิจริงๆ ปัญญาก็เป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่สมาธิก็ให้กิเลสมันเอาไปครึ่งหนึ่ง เป็นสมาธิครึ่งหนึ่ง เป็นปัญญาก็กิเลสเอาไปครึ่งหนึ่ง เราก็ครึ่งหนึ่ง ครึ่งๆ อยู่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้อะไรเลย
มันถึงต้องลงมือลงแรงแล้วทำจริงๆ นะ จริงๆ มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา เป็นขึ้นมานี่เห็นไหม ฤๅษีเขาติดไฟของเขาเป็น ลูกศิษย์มันผ่าฟืน มันผ่าไม่เป็น มันทำสภาวะไม่เป็น เราฝึกขึ้นมาจากคนผ่าไม่เป็นนี่แหละ ถ้ามันผ่าเป็นขึ้นมา มันต้องมาฝึกฝนทำไม ถ้ามันผ่าเป็นทำไมเราต้องประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราต้องไปเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา
ถ้าเราผ่าเป็น เราฝึกเป็น พอมันเป็นขึ้นมา พอเป็นขึ้นมาแล้วเห็นไหม เวลาพระไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะว่าสัจจะความจริงที่เกิดขึ้นมาของพระสารีบุตรนั้นเป็นความจริงขึ้นมา แต่ความเชื่อนี่เป็นความชักจูงขึ้นมานะ ชักจูงใจเข้ามาถึงการประพฤติปฏิบัติ เชื่อขึ้นมาจนมีกำลังขึ้นมา
ถ้าไม่เชื่อนะ ใจมันอ่อนแอ ถ้ามีความเชื่อขึ้นมา ใจมันเข้มแข็ง แต่เข้มแข็งแล้วต้องเข้มแข็งเป็นสัมมาด้วย ถ้าเข้มแข็งเป็นมิจฉา เห็นไหม มันก็ขวาง ขวางกิเลส ขวางใจเรา ขวางธรรมเรา ขวางทั้งหมดเลย ถ้ามันเป็นความเข้มแข็งด้วย แล้วมันเป็นกิเลสไง เข้มแข็งแล้วเป็นธรรมขึ้นมาน่ะสุดยอด
ความเข้มแข็ง ความอดทนนี่มันก็เหมือนกับมันเป็นสัมมาเป็นมิจฉาไปตลอด ทุกอย่างมีสัมมา-มิจฉา ทั้งๆ ที่เป็นสัมมา ถ้ากิเลสมันใหญ่เข้ามาก็เป็นมิจฉาแล้ว เราไม่รู้ทันมัน พอรู้ทันมันก็เป็นมิจฉาก็ปล่อยๆๆ หัดปล่อยหัดวาง หัดปล่อยหัดวางขึ้นไปเพื่อจะไปเอาเป้าหมายที่ดี ปล่อยขึ้นมาเพื่อจะเอาประโยชน์กับเรานะ ไม่ใช่ว่าปล่อยเพื่อจะไม่มีจุดหมายปลายทาง ปล่อยอย่างนี้ผิด
แต่ถ้าปล่อยขึ้นไปเพื่อจะเอาปลายทาง ปล่อยเพื่อเอาเป้าหมายของเรา สิ่งที่ความดียังมีอยู่ เห็นไหม จิตที่มันจะมีคุณค่ามากกว่านี้ เข้าไปนะ ครูบาอาจารย์ที่เวลาปฏิบัติเข้าไปนะ เวลาไปถึงจุดนะ ทำไมมันน้ำตาหลั่งน้ำตาไหล ธรรมสังเวชมันเกิดนะ โอ๊..ทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ คุณค่ามันมากขนาดนี้นะ เราถึงควรปล่อย อย่าควรยึดสิ่งที่เป็นหยาบๆ อย่างนี้
ถ้าเข้าไปถึงข้างในแล้ว เราไปเห็นคุณค่าของมัน เราจะซึ้งใจมากเลย โอ้โฮ..ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้
นี่ครูบาอาจารย์ผ่านมาแล้วนะ ถึงพยายามบอกชี้นำกันมา ถ้าเราทำของเราได้ เรามีสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นบูชาไฟก็บูชาจริงๆ ไม่ใช่เป็นแบบมาผ่าหาฟืนหาไฟของเขานี่ทำไม่ถูกต้อง ถ้าทำถูกต้องขึ้นมา สัจจะความจริงมีอยู่แล้ว ดูสิ ร้อนมา หนาวมานี่เราแก้ไขได้หมดล่ะ ถ้าเราแก้ไขได้
แล้วถ้าจิตมีคุณธรรมขึ้นมา มันมีความสุขในหัวใจของเรา ความสุขนี้เกิดจากศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเกิดจากการประพฤติปฏิบัติที่รู้จริงเห็นจริงของเรา แล้วเราจะเข้าไปประสบความจริงของเรา เอวัง